วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วัดยางทอง





โครงงานวิชา ส32103 โครงงานประวัติศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2553



ชื่อโครงงาน สงขลาแต่แรก (Befor Songhlak)





รายชื่อผู้เสนอโครงงาน

นางสาวทิพย์วิมล พึ่งบุญ เลขที่20

นางสาววรรณดี ล่องแดง เลขที่ 22

นางสาวอภิชญา จันทระ เลขที่ 23

นางสาวเจนจิรา คังฆะสุวรรณ เลขที่ 25

นางสาวรัชชนก คำทอง เลขที่ 35


อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน

อาจารย์การุณย์ สุวรรณรักษา

ตำแหน่ง ครูประจำวิชากลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
โรงเรียนวรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา





ชื่อโครงงาน : สงขลาแต่แรก (Befor Songhlak)


หลักการและเหตุผล : เนื่องจากปัจจุบันประชาชนที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยในจังหวัดสงขลาส่วนใหญ่ไม่รู้ถึงประวัติความเป็นมาของถิ่นกำเนิดของบรรพบุรุษของตนทางคณะผู้จัดทำจึงรวบรวมและเผยแผ่ประวัติความเป็นมาของตำบลบ่อยางให้ประชาชนได้รู้และเข้าใจมากยิ่งขึ้นแล้วยังสามารถนำไปบอกเล่าให้ลูกหลานได้ในอนาคต



วัตถุประสงค์ของโครงงาน :

1.เพื่อเผยแผ่ประวัติความเป็นมาของตำบลบ่อยาง

2.เพื่อให้ได้ความรู้ที่สามารถพิสูจน์ได้จริง

3.เพื่อให้รู้ที่มาของบรรพบุรุษ


ขั้นตอนและวิธีการจัดทำ

1. นักเรียนแต่ละกลุ่มเขียนโครงร่างของโครงงาน

2. เสนอโครงร่างให้ครูผู้สอนอนุมัติ

3. เมื่อครูผู้สอนอนุมัติโครงร่างโครงงานแล้ว ให้นักเรียนเริ่มดำเนินการจัดทำ โดยทำการศึกษารวบรวม

4. ไปศึกษาสถานที่จริง

5.แต่ละกลุ่มนำเสนอและแสดงโครงงานข้อมูลเก็บไว้ในBlogหรือรายงาน

ผลการศึกษา

วัดยางทอง ตั้งอยู่บ้านเลขที่ ๑ ถนนนางงาม ในเขตเทศบาลนครสงขลา ปัจจุบันมีเนื้อที่ประมาณ ๔ ไร่ โดยมีอาณาเขตดังนี้

  • ทิศเหนือ ติดถนนสงขลาบุรี ซึ่งมีสถานีดับเพลิงของเทศบาลอยู่ฝั่งตรงข้าม
  • ทิศใต้ ติดด้านหลังบ้านเรือนของชาวบ้านริมถนนยะหริ่ง
  • ทิศตะวันออก ติดถนนนางงาม
  • ทิศตะวันตก ติดด้านหลังบ้านเรือนของชาวบ้านริมถนนนครใน

วัดยางทอง เป็นที่ตั้งของ บ่อยาง ซึ่งเป็นชื่อท้องถิ่นของที่ตั้งเมืองสงขลา ส่วนจะสร้างขึ้นเมื่อไหร่นั้นไม่ปรากฎหลักฐาน สืบได้แต่เพียงเค้าเงื่อนจากพงศาวดารเมืองสงขลาว่า ในราชการที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ไทยยังคงรบกับพม่า เมื่อเกิดสงครามเก้าทัพ พม่าได้บุกมาทางถลางหรือภูเก็ต กองทัพเมืองสงขลาจึงได้ยกไปช่วย หลังจากเสร็จศึกเก้าทัพแล้วเจ้าเมืองสงขลาก็ได้สร้างอุโบสถวัดยางทอง (ทำนองสร้างบุญล้างบาป) จึงคาดหมายว่าวัดยางทองน่าจะมีอยู่ก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ หรือคงจะมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา…

“ครั้น ณ ปีเถาะสัปตศก ศักราช ๑๑๕๗ (พ.ศ.๒๓๓๘) อ้ายพม่าข้าศึกยกกองทัพเรือมาตีเมืองถลางแตก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยาพลเทพ (บุนนาก) กับพระยาวิเศษโกษาเปนแม่ทัพ โปรดเกล้าฯ ให้นายเถี้ยนจ๋งมหาดเล็กบุตรพระอนันตสมบัติเปนหลวงนายฤทธิ์ ออกมาในกองทัพเจ้าพระยาพลเทพ (บุนนาก) ด้วย เจ้าพระยาพลเทพยกกองทัพเรือออกมาขึ้นเดินกองทัพที่เมืองชุมพรไปเมืองถลาง เจ้า พระยาพลเทพให้หลวงนายฤทธิ์ (เถี้ยนจ๋ง) เชิญท้องตราออกมาเมืองสงขลา ในท้องตราโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยาสงขลา (บุญหุ้ย) ยกกองทัพไปถ่วงเมืองไทรบุรีไว้ แล้วให้เกณฑ์ไพร่เมืองสงขลา เมืองจะนะ ให้หลวงนายฤทธิ์ยกไปช่วยตีเมืองถลาง เจ้าพระยาสงขลา (บุญหุ้ย) เกณฑ์ไพร่เมืองสงขลาได้เจ็ดร้อยคน ให้หลวงพลเปนนายทัพ เกณฑ์ไพร่เมืองจะนะได้สองร้อยคน ให้จีนขวัญซ้ายมหาดเล็กบุตรพระจะนะ (เค่ง) เปนนายทัพ รวมไพร่เมืองสงขลา เมืองจะนะเก้าร้อยคน มอบให้หลวงนายฤทธิ์ยกไปทางเมืองพัทลุงไปสมทบทัพเจ้าพระยาพลเทพที่เมืองตรัง แล้วเจ้าพระยาสงขลา (บุญหุ้ย) เกณฑ์ไพร่สองร้อยคน ให้หลวงจ่ามหาดไทยยกไปตั้งถ่วงเมืองไทรบุรีไว้ กองทัพเจ้าพระยาพลเทพกับพระยาวิเศษโกษา หลวงนายฤทธิ์ ยกไปถึงเมืองถลาง ได้ยกเข้าตีพวกพม่าข้าศึกแตกหนีกลับไป เจ้าพระยาพลเทพจัดราชการเมืองถลางอยู่ปี ๑ เสร็จราชการแล้วยกกองทัพมาเมืองสงขลาทางเมืองตรัง ครั้งนั้นด่าตูปักหลันเจ้าเมืองยิริงคิดขบถ เจ้าพระยาพลเทพจัดให้กองทัพเมืองพัทลุง เมืองสงขลา สมทบกับกองทัพหลวง ให้หลวงนายฤทธิ์เปนแม่ทัพยกออกไปตีเมืองยิริง หลวงนายฤทธิ์ยกกองทัพออกไปตีทัพด่าตูปักหลันเมืองยิริงถึง ตลุมบอน จับตัวด่าตูได้ จึ่งได้แยกเมืองตานีออกเปน ๗ เมืองตามพระบรมราชานุญาต เหตุด้วยเมืองตานีเมืองเดียวมีกำลังมาก เมืองสงขลามีกำลังน้อย แล้วตั้งให้นายพ่ายทหารเอกเมืองสงขลาเปนผู้ว่าราชการเมืองยิริง จัดราชการแยกเมืองตานีอยู่ ๖ เดือน เสร็จราชการแล้ว ยกกองทัพพาตัวด่าตูกลับเข้ามาเมืองสงขลา เจ้า พระยาพลเทพ พระยาวิเศษโกษา หลวงนายฤทธิ์ ก็ยกกองทัพกลับเข้าไปกรุงเทพ ฯ เมืองสงขลาเปนปรกติไม่มีทัพศึกอยู่ ๒ ปี ในระหว่างเมืองสงขลาเปนปรกติอยู่ ๒ ปีนั้น เจ้าพระยาอินทคิรี ได้สร้างพระอุโบสถวัดยางทองขึ้นอาราม ๑ โรง พระอุโบสถวัดมัชฌิมาวาศอาราม ๑ รวม ๒ อาราม แลเจ้าพระยาสงขลา (บุญหุ้ย) ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ฟากแหลมสน.”

สภาพปัจจุบัน วัดยางทองมีอุโบสถ ๑ หลัง ศาลาการเปรียญ ๑ หลัง ศาลาบำเพ็ญกุศล ๑ หลัง หอระฆัง ๑ หลัง และกุฏิ ๕ หลัง ซึ่งเสนาสนะเหล่านี้ เก่าที่สุดคือกุฏิที่ผู้เขียนอยู่สร้างเมื่อพ.ศ. ๒๕๐๐ นอกนั้นเกือบทั้งหมดสร้างมาไม่เกิน ๒๐ ปี แต่เมื่อขุดดินลงไปภายในวัด ก็จะเจอก้อนอิฐในสมัยต่างๆ ทับถมอยู่หนาแน่นและทั่วไป เคยมีผู้ให้ความเห็นว่า ถ้าจะศึกษายุคสมัยวัดยางทอง อาจศึกษาจากก้อนอิฐแต่ละรุ่นที่ฝังอยู่ในดิน…

บ่อยาง เป็นบ่อน้ำโบราณ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบ่อยางเก่าที่เหลืออยู่เพียงบ่อเดียวภายในวัด และยังคงใช้กันอยู่จนกระทั้งปัจจุบัน… ขณะนี้ทางวัดได้รับการอุปถัมภ์จากสโมสรโรตารีสงขลาสร้าง บ่อยาง ขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นสัญลักษณ์คู่กับวัดและเมืองสงขลาสืบต่อไป…
www.watyangtong.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น